พลิกชีวิตด้วยพลังแห่งการฟัง เคล็ดลับสร้างการสื่อสารที่มีความหมาย

พลิกชีวิตด้วยพลังแห่งการฟัง เคล็ดลับสร้างการสื่อสารที่มีความหมาย

.

ลองนึกภาพสถานการณ์ที่เราอยู่ในการประชุมหรือในสนทนาแบบตัวต่อตัว ที่มีบางคนพูดต่อเนื่องจนทำให้เสียงของคนอื่นถูกบดบัง คุณเคยรู้สึกหรือเปล่าว่าการสนทนานั้นกลับไม่ราบรื่น และคุณอาจพลาดข้อมูลสำคัญไปเพราะเรามัวแต่คิดว่าจะพูดอะไรต่อไป? หลายคนเชื่อว่าการพูดเก่งคือสัญลักษณ์ของการสื่อสารที่ดี แต่ความจริงแล้ว การพูดมากเกินไปบางครั้งอาจทำให้ความสัมพันธ์และการรับรู้ซึ่งกันและกันผิดเพี้ยนไป ในบทความนี้ เราจะพูดถึง “โรค” ของการอยากพูดและผลเสียที่ตามมา พร้อมทั้งเปิดเผยพลังของการฟังอย่างแท้จริงที่สามารถเปลี่ยนการสนทนาให้เป็นมิตรและมีคุณภาพ ตามมาดูกันในบทที่ว่า ” พลิกชีวิตด้วย พลังแห่งการฟัง เคล็ดลับสร้างการสื่อสารที่มีความหมาย”

.

พลังแห่งการฟัง

.

โรคของการอยากพูด: ความต้องการที่จะถูกยอมรับและรู้สึกมีคุณค่า

ชีวิตในสังคมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและการแข่งขันทางข้อมูล ทำให้หลายคนมีความรู้สึกว่าการมีส่วนร่วมในการสนทนานั้นหมายถึงการแสดงออกถึงความคิดและความคิดเห็นของตนเอง ซึ่งกลายเป็น “โรค” ที่ทำให้เราต้องการพูดเกินความจำเป็น จิตวิทยาสมัยใหม่อธิบายว่าความต้องการที่จะให้ตัวเองได้รับการยอมรับหรือการแสดงออกถึงความสำคัญในสายตาของผู้อื่นนั้นมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการสื่อสารของเรามาก

ในบางครั้ง เราอาจพบว่าผู้ที่มีความรู้สึกว่าตัวเองสำคัญ หรือรู้สึกว่าต้องเติมเต็มความเงียบในสถานการณ์ที่เงียบสงัด มักจะพูดมากกว่าที่ควร บางครั้งอาจเกิดจากความประหม่าหรือความไม่มั่นใจในตัวเอง ซึ่งทำให้เราคิดว่าการพูดจึงเป็นวิธีการเพื่อปกป้องตนเองจากความเงียบที่อาจจะถูกตีความว่าเป็นการขาดการมีส่วนร่วม ในมุมมองระดับสังคม การพูดมากเกินไปอาจถูกมองว่าเป็นการแสดงออกของความเป็นผู้นำหรือการควบคุมสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง หากเราเพิ่งให้โอกาสผู้ฟังได้ออกความคิดเห็นหรือแบ่งปันมุมมองของตนเองแล้ว การสนทนาก็จะเป็นการแลกเปลี่ยนที่สมดุลและมีคุณค่ามากกว่า

พลังแห่งการฟัง

.

ในหลายๆ ครั้งที่เราได้เห็นการประชุมที่ดูเหมือนจะมีแต่เสียงของคนพูดคนเดียวหรือมีแต่คนที่พยายามขัดจังหวะเพื่อนร่วมสนทนา ย่อมทำให้เกิดความรู้สึกของความอึดอัดและไม่เป็นธรรมในกลุ่ม เพราะเมื่อเสียงของคนอื่นถูกบดบังไป เราก็อาจพลาดโอกาสได้รับข้อมูลที่ลึกซึ้งจากมุมมองที่แตกต่างออกไป

.

ผลเสียของการพูดมากเกินไป: ข้อมูลสำคัญหลุดมือและความสัมพันธ์แย่ลง

การพูดต่อเนื่องโดยไม่ให้เวลาอีกฝ่ายได้แสดงออกมีผลเสียหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น:

  • พลาดข้อมูลสำคัญ: เมื่อเรามัวแต่คิดว่าจะพูด เราอาจไม่ได้รับรู้ความคิดเห็นหรือรายละเอียดที่สำคัญจากผู้ฟัง
  • สร้างความเข้าใจผิด: การฟังไม่เต็มที่สามารถนำไปสู่การตีความผิดที่ส่งผลให้เกิดความขัดแย้ง
  • ทำลายความสัมพันธ์: การที่เราไม่ให้ความสำคัญกับการฟังแสดงถึงการไม่เคารพอีกฝ่าย ซึ่งอาจทำให้ความสัมพันธ์ลดลง

การพูดมากเกินไปยังสามารถปิดกั้นโอกาสในการเรียนรู้มุมมองที่แตกต่างและมีประโยชน์ต่อการตัดสินใจในอนาคตได้

.

พลังแห่งการฟัง อย่างแท้จริง กับ การเปิดรับโลกทัศน์ใหม่

การฟังอย่างจริงจังไม่ใช่แค่การเงียบอยู่เฉย ๆ แต่มันคือการเข้าสู่กระบวนการรับรู้ทั้งคำพูด น้ำเสียง ภาษาท่าทาง และอารมณ์ที่แฝงอยู่เบื้องหลัง เมื่อเราเลือกที่จะฟังอย่างแท้จริง สิ่งที่เกิดขึ้นคือ

  • ความเข้าใจที่ลึกซึ้ง: เราจะเห็นมุมมองที่หลากหลายและเข้าใจความรู้สึกของผู้พูดได้ดียิ่งขึ้น
  • การเสริมสร้างความสัมพันธ์: ผู้พูดจะรู้สึกมีคุณค่าและได้รับความเคารพ จนเกิดความไว้วางใจและผูกพันที่แน่นแฟ้น
  • ลดความขัดแย้ง: เมื่อเราให้ความสำคัญกับการฟัง เรามักจะตอบกลับอย่างเหมาะสม ลดโอกาสการเกิดการโต้เถียงที่ไม่จำเป็น

.

พลังแห่งการฟัง

.

แนวคิด “episodic listening theory” ได้ชี้ให้เห็นว่าการฟังที่มีคุณภาพนั้นนำมาซึ่งกระบวนการคิดสร้างสรรค์ร่วมกันและความชัดเจนในความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นในที่ทำงานหรือในชีวิตส่วนตัว

.

เทคนิคการฟังอย่างมีประสิทธิภาพ: แนวทางปฏิบัติที่ใช้งานได้จริง

แม้ว่าแนวคิดของการฟังจะดูเรียบง่าย แต่การนำไปใช้ในชีวิตจริงนั้นต้องอาศัยเทคนิคที่ช่วยให้การฟังเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เทคนิคที่สำคัญได้แก่

  • ตั้งใจและลดสิ่งรบกวน: หนึ่งในเทคนิคที่สำคัญคือการ “ตั้งใจและมีสมาธิ” ซึ่งหมายความว่าในช่วงเวลาที่เรากำลังฟัง เราควรจัดการกับสิ่งรบกวนให้น้อยลง ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือหรือเสียงรบกวนจากภายนอก การตัดสิ่งรบกวนเหล่านี้จะช่วยให้เราได้มุ่งเน้นไปที่สิ่งที่ผู้พูดกำลังจะสื่ออย่างแท้จริง ควรปิดโทรศัพท์หรือหาสถานที่ที่เงียบสงบ เมื่ออยู่ในช่วงการสนทนา ควรให้ความสำคัญกับสิ่งที่ผู้พูดกำลังบอก
  • แสดงความสนใจด้วยภาษากาย: อีกหนึ่งเทคนิคที่ไม่ควรมองข้ามคือการ “แสดงความสนใจ” ผ่านภาษากาย เช่น การสบตาอย่างเป็นธรรมชาติ การพยักหน้าเบาๆ หรือการโน้มตัวเล็กน้อยไปทางหน้าผู้พูด สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงออกถึงความตั้งใจฟัง แต่ยังช่วยให้ผู้พูดรู้สึกว่าความคิดเห็นและความรู้สึกของเขาได้รับการยอมรับ

.

พลังแห่งการฟัง

.

  • ถามคำถามเพื่อความเข้าใจ: การตั้งคำถามเพื่อให้ผู้พูดอธิบายเพิ่มเติมก็เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยให้การฟังเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น หากเรามีความสับสนหรืออยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติม การถามคำถามที่สุภาพและเปิดโอกาสให้ผู้พูดได้อธิบายก็จะช่วยให้ข้อมูลที่ได้รับครบถ้วนและชัดเจนมากยิ่งขึ้น การทวนสิ่งที่เราได้ยินก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยยืนยันความเข้าใจ หากเราได้สรุปข้อความบางอย่างแล้วว่าหมายถึงสิ่งใด เราก็ควรให้ผู้พูดตรวจสอบว่าความเข้าใจของเราถูกต้องหรือไม่
  • หลีกเลี่ยงการขัดจังหวะ: สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือการ “อย่าขัดจังหวะ” แม้ว่าอาจจะรู้สึกอยากแสดงความคิดเห็นในทันที แต่การให้ผู้พูดจบประโยคหรือความคิดของตนก่อนนั้นแสดงถึงความเคารพและความเข้าใจในตัวเขาอย่างแท้จริง นอกจากนี้ การควบคุมอารมณ์และความคิดเห็นส่วนตัวในขณะที่รับฟังก็เป็นหัวใจสำคัญในการสร้างการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ เพราะเมื่อเราสามารถวางอารมณ์ของตัวเองให้ห่างออกไปจากการสนทนาได้ เราก็สามารถรับฟังและเข้าใจสิ่งที่ผู้พูดพยายามจะบอกเราได้ดียิ่งขึ้น

เทคนิคเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้เราเข้าใจข้อมูลที่ได้รับมากขึ้น แต่ยังสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรและเสริมสร้างความเชื่อมโยงในทุกการสนทนา เมื่อไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน ควรตั้งคำถามที่เปิดโอกาสให้ผู้พูดอธิบายเพิ่มเติม

.

คุณทำได้ เริ่มฝึกฟังวันนี้เพื่อสร้างความแตกต่าง

ท้ายที่สุดแล้ว ผมอยากฝากทิ้งคำถามที่กระตุ้นให้คุณคิด “คุณจะเริ่มฝึกการฟังมากขึ้นในวันนี้ได้อย่างไร?” ลองหมั่นฝึกตัวเองในทุกๆ สถานการณ์ เช่น ในที่ทำงานหรือในครอบครัว ให้ตั้งใจฟังความคิดเห็นของคนรอบข้าง แม้ในเวลาที่คุณรู้สึกอยากพูดหรือแทรกความคิดเห็นให้เกิดการขัดจังหวะ ลองตั้งใจฟังก่อนแล้วจึงค่อยตอบกลับออกมาอย่างคิดให้ดีก่อน คุณจะพบว่าเมื่อเราเริ่มฝึกฟังแล้ว ทุกการสนทนาจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

.

พลังแห่งการฟัง

.

หากคุณมีประสบการณ์หรือความคิดเห็นเกี่ยวกับการพูดมากเกินไปและการฟังที่มีคุณภาพ อย่าลังเลที่จะแบ่งปันในส่วนคอมเมนต์ของบทความนี้ เพราะความคิดเห็นของคุณเองก็อาจเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้อ่านคนอื่นๆ ที่กำลังมองหาการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของพวกเขา

สุดท้ายนี้ ผมอยากบอกว่าการฟังนั้นไม่ได้หมายความว่าเราต้องเงียบอยู่เฉยๆ แต่เป็นการแสดงออกถึงความเคารพและความเปิดกว้างในการรับฟัง อีกทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้เราได้เรียนรู้จากกันและกันในมิติที่ลึกซึ้ง ดังนั้นเมื่อครั้งหน้าที่คุณอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องสนทนา ลองหันมาให้ความสำคัญกับการฟังมากขึ้น แล้วคุณจะพบว่าเส้นแบ่งระหว่างการพูดและการฟังนั้นเริ่มเลือนรางไปในทางที่ทำให้ชีวิตของคุณเต็มไปด้วยความเข้าใจและความสมดุลมากขึ้น

.

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

เพื่อนคุณคงดีใจ ถ้าคุณแชร์เรื่องราวดีๆไปให้