Matthew Effect กลไกเบื้องหลังการได้ดีเพราะมีดี ที่กำลังกำหนดชีวิตคุณโดยไม่รู้ตัว

เมื่อชื่อเสียงกลายเป็นทุนตั้งต้นแห่งความได้เปรียบ
คุณเคยรู้สึกไหมว่า บางคนได้โอกาสมากกว่าคนอื่น ทั้งที่ความสามารถก็ใกล้เคียงกัน? ลองนึกถึงเด็กนักเรียนสองคนที่เรียนเก่งพอๆ กัน แต่คนหนึ่งกลับถูกชื่นชมบ่อยกว่า ได้รับการเลือกให้เป็นหัวหน้าห้องบ่อยกว่า และในที่สุดก็ได้รางวัลทุนเรียนต่อ ทั้งหมดนี้เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยทำได้ดี…เพียงแค่ครั้งเดียว?
เหตุการณ์แบบนี้ไม่ใช่แค่ความบังเอิญ แต่คือผลของสิ่งที่นักจิตวิทยาและนักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า Matthew Effect หรือที่เรียกกันว่า “ใครรวยก็รวยขึ้น ใครดังก็ดังขึ้น” มันกำลังหล่อหลอมโลกโดยที่เราแทบไม่รู้ตัว และที่น่าทึ่งกว่านั้นคือ เราทุกคนล้วนอยู่ในวังวนของมัน

.
Matthew Effect คืออะไร และทำไมมันถึงทรงพลังนัก
Matthew Effect มีที่มาจากพระคัมภีร์ไบเบิล พระธรรมมัทธิวบทที่ 25 ข้อ 29 ซึ่งกล่าวว่า “ใครมีจะให้เพิ่มเติมแก่เขา แต่ผู้ที่ไม่มี แม้แต่สิ่งที่เขามีอยู่ก็จะถูกเอาไป” นักสังคมศาสตร์ชื่อดังอย่าง Robert K. Merton ได้นำประโยคนี้มาใช้อธิบายปรากฏการณ์ในวงวิชาการ ที่นักวิจัยที่มีชื่อเสียงมักได้รับเครดิตมากกว่านักวิจัยโนเนม แม้ว่าทั้งคู่จะทำผลงานใกล้เคียงกัน
กลไกของ Matthew Effect ทำงานผ่าน “ชื่อเสียงสะสม” และ “แรงส่งทางสังคม” เมื่อใครสักคนได้รับการยอมรับว่าเก่ง โดดเด่น หรือประสบความสำเร็จ โอกาสดีๆ จะเริ่มหลั่งไหลเข้าหาเขาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงทรัพยากร โอกาสทำงานใหม่ หรือแม้แต่ความไว้วางใจจากสังคม ซึ่งทั้งหมดนี้กลับกลายเป็นการตอกย้ำความสำเร็จให้ทวีขึ้นไปอีก
แต่ในอีกมุมหนึ่ง มันก็หมายถึงการที่คนที่ยังไม่เป็นที่รู้จักหรือเพิ่งเริ่มต้น จะต้องดิ้นรนหลายเท่าในการพิสูจน์ตัวเอง เพราะโอกาสไม่ได้ถูกกระจายอย่างเป็นธรรมตั้งแต่ต้น นี่คือกับดักเงียบๆ ของ Matthew Effect ที่ซ่อนตัวอยู่ในทุกวงการการศึกษา การทำงาน การตลาด และแม้แต่ชีวิตส่วนตัว
.
เมื่อความสำเร็จแรก คือใบเบิกทางให้โชคดีต่อเนื่อง: ตัวอย่างจากชีวิตจริงและการทดลอง
หนึ่งในตัวอย่างคลาสสิกของ Matthew Effect มาจากงานวิจัยของนักจิตวิทยา Robert Rosenthal ที่เคยทำการทดลองกับครูในโรงเรียน โดยสุ่มเลือกชื่อนักเรียนขึ้นมาบางคน แล้วบอกครูว่านักเรียนกลุ่มนี้มี “ศักยภาพพิเศษ” ทั้งที่จริงๆ ไม่ได้ต่างจากคนอื่นเลย ผลคือ…ภายในหนึ่งปี นักเรียนกลุ่มนี้กลับมีผลการเรียนดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะได้รับการดูแล เอาใจใส่ และความคาดหวังที่สูงกว่าจากครู
หรือในวงการกีฬา เรามักพบว่านักกีฬาที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าอะคาเดมีตั้งแต่เด็ก มักกลายเป็นนักกีฬาอาชีพ แม้ว่าจะมีเด็กอีกหลายคนที่มีพรสวรรค์เท่ากันหรือมากกว่าด้วยซ้ำ เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้ “โผล่” ให้เห็นตั้งแต่ต้น
ในแวดวงการตลาด ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการรีวิวสินค้าในแพลตฟอร์มออนไลน์ สินค้าที่ได้รับรีวิวดีในช่วงแรก มักมียอดขายพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะผู้ซื้อใหม่มักเลือกสินค้าที่คนอื่นซื้อไปก่อนแล้ว โดยไม่ทันได้ตั้งคำถามว่าสินค้าที่ไม่มีรีวิวอาจดีกว่า เพียงแต่ยังไม่มีใครซื้อ
Matthew Effect จึงไม่ใช่แค่เรื่องของโชคหรือระบบทุนนิยม แต่มันคือผลสะสมจากการรับรู้ของสังคมที่กลายเป็น “วงจรป้อนกลับเชิงบวก” ที่ทำให้คนที่มีจุดเริ่มต้นดีได้เปรียบไปเรื่อยๆ และคนที่เริ่มต้นช้า ต้องแบกรับแรงเสียดทานหนักกว่ามาก

.
เข้าใจ Matthew Effect เพื่อสร้างแต้มต่อให้ตัวเองอย่างชาญฉลาด
เมื่อเรารู้ว่า Matthew Effect มีอยู่จริง คำถามคือ…เราจะรับมือกับมันอย่างไร?
ถ้าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจ หรือทำการตลาด Matthew Effect คือเครื่องมือที่ควรใช้เป็น ไม่ใช่แค่เข้าใจธรรมชาติของมันเท่านั้น แต่ต้องรู้จัก “สร้างจุดเริ่มต้นแห่งชื่อเสียง” ให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะในช่วงแรกของผลิตภัณฑ์หรือแบรนด์ เพราะเมื่อชื่อเสียงเริ่มหมุนไป โอกาสจะไหลตามมาไม่หยุด
ในชีวิตส่วนตัวหรือสายอาชีพ การใช้หลักการของ Matthew Effect คือการ “เร่งสะสมเครดิต” ไม่ว่าจะเป็นความน่าเชื่อถือ ความชำนาญ หรือแม้แต่การปรากฏตัวในที่ที่ใช่ การเริ่มต้นให้ดูดี ทำให้ดี และถูกจังหวะ จะช่วยเร่งปฏิกิริยาทางสังคมให้เริ่มต้นกับคุณในเชิงบวก ซึ่งในระยะยาวจะกลายเป็นผลลัพธ์ที่ทวีคูณ
ยิ่งกว่านั้น Matthew Effect ยังสามารถเปลี่ยนมุมมองของเราให้เข้าใจมากขึ้นว่า ความไม่เท่าเทียมในสังคมไม่ใช่เรื่องของ “ใครเก่งกว่าใคร” เสมอไป แต่เป็นเรื่องของใครมีโอกาสก่อน และใครรักษาโอกาสนั้นไว้ได้อย่างต่อเนื่องต่างหาก

.
มองโลกใหม่ผ่านเลนส์ของ Matthew Effect: ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องบังเอิญเสมอไป
Matthew Effect เตือนเราว่า ในโลกที่ดูเหมือนเปิดกว้างและยุติธรรม บางครั้งโอกาสก็ไม่ได้กระจายอย่างเท่าเทียม ชื่อเสียง ชัยชนะ หรือแม้แต่ความไว้วางใจจากผู้อื่น ล้วนเป็นผลพวงของการ “ได้เปรียบแต่ต้น” ที่สะสมเรื่อยมา
การตระหนักรู้ถึงกลไกนี้ ช่วยให้เราไม่หลงกลกับความสำเร็จที่ดูง่ายเกินจริง และไม่ตีค่าความล้มเหลวเร็วเกินไปต่อคนที่ยังไม่มีโอกาสเฉิดฉาย
แล้วคุณล่ะ…คุณกำลังอยู่ในฝั่งไหนของ Matthew Effect? และคุณจะเปลี่ยนเกมนี้ให้เป็นของคุณได้อย่างไร?