Growth Mindset มีจริงหรือแค่ขายของ

เรื่องมันเริ่มจากที่ชายคนหนึ่ง
ใช้ความสามารถของตนเอง หรือจริงๆแล้วก็อาจจะเรียกได้ว่ากึ่งๆอัจฉริยะเลยก็ว่าได้เพราะในตอนนั้นเขายังเป็นแค่นักศึกษาของมหาวิทยาลับฮาร์วาร์ด และในคืนที่เขากระดกเบียร์พอให้เมาๆก็สร้างออนไลน์โปรแกรมที่ชื่อว่า Facemash ขึ้นจนเป็นเรื่องราวใหญ่โตในมหาวิทยาลัยตอนนั้น แต่นั่นกลับเป็นก้าวอันสำคัญของการเกิดขึ้นแห่งเว็บไซต์และแอปพลิเคชันที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งของโลกที่มีผู้ใช้งานไปกว่า 30% ของประชากรทั้งโลกหรือราวๆ2พันล้านคนเข้าไปแล้ว เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันนั้นก็คือ Facebook และชายที่ให้กำเนิดมันก็คือ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก หนึ่งในบุคคลที่เก่งพอชนิดที่เรียกว่าตอนก่อตั้ง Facebook ใหม่ๆนั้นอาจจะไม่ต้องเรียนหนังสือแล้วก็ยังได้และกว่าจะเรียบจบจากมหาวิทยาลัยชื่อก้องโลกแห่งนี้นับจากวันที่ Facebook ได้ถือกำเนิดขึ้นก็ใช้เวลาราว 12 ปี

สังคมโลก ถูกมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เปลี่ยนโฉมเป็นคนละเรื่องกับเมื่อ20ปีก่อน
.
มองกลับมาที่ตัวเราแล้วบอกกับตัวเองว่าจะเป็นคนเก่งแบบนั้นได้ชาตินี้อาจจะไม่มีทาง หรือเผลอๆอาจจะเป็นไปได้แล้วด้วยซ้ำ แต่ไม่ว่าเราจะคิดอย่างไรนั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไรเลย เพราะทางเดินและเป้าหมายแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน หากคุณคิดว่าสิ่งที่ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์กทำนั้นเป็นเพราะว่าเขาเป็นคนเก่งอยู่แล้วชนิดที่ไม่เคยเห็นภาพข่าวหรือระแคะระคายเกี่ยวกับตัวเขาเรื่องการฝึกซ้อมแฮ็คคอมพิวเตอร์หรือมีปัญหาด้านการเขียนโปรแกรมเลย เราลองมาดู มาร์ก อีกคนกัน
.
ชายคนนี้ตอนที่เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองรอดตาย เขาอยู่ห่างจากโลกประมาณ 200 ล้านกิโลเมตร อยู่บนดาวที่ไม่มีอะไรอาศัยอยู่ได้ แต่เขาต้องเอาตัวเองให้รอดไม่ใช่แค่วันหรือสองวัน แต่เป้าหมายคือ 4 ปี เพื่อให้เพื่อนร่วมทีมเขากลับไปรับเขาจากภารกิจบนดาวอังคารที่พังไม่เป็นท่าจากพายุทรายที่เข้าถล่มไม่กี่วันหลังยานอวกาศลงจอด ชายคนนั้นคือ มาร์ก วัทนีย์ แน่นอนว่าตัวตนของเขามีจริงอยู่ในภาพยนตร์ที่สร้างจากนิยายขายดีของ แอนดี เวียร์ เท่านั้น แต่ภายนตร์และนิยายเรื่องก็ได้ชื่อว่าถูกประพันธ์ขึ้นอย่างปราณีตละเอียดอ่อนและให้แง่คิดมากมายแก่ผู้อ่านอย่างไม่น่าเชื่อ
.
ความมานะ อุตสาหะ ของเขาในการฝ่าฟันและทำตัวเองให้รอดจากสภาพแวดล้อมที่สิ่งมีชิวิตไม่อาจอยู่ได้นั้น นับได้ว่าน่ายกย่องเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ไม่มีเหลือพอ การติดต่อสื่อสารมายังโลก การเดินทางนับร้อยๆกิโลเมตร ทุกสิ่งเพราะความตั้งใจและคิดอย่างรอบคอบตบท้ายด้วยการไม่ย่อท้อทำให้ในที่สุดเขาเดินทางผ่านระยะทางกว่าร้อยล้านกิโลเมตรมาใช้ชีวิตบนโลกได้สำเร็จ

ดาวอังคารยังคงถูกสำรวจแม้ยังไม่เคยมีใครไปถึง
.
เราจะเก่งแบบทั้งสองมาร์กข้างต้นบ้างได้ไหม คนหนึ่งเรียกได้ว่าพรสวรรค์แบบฟ้าประธานอีกคนอุตสาหะไม่ย่อท้อ ถ้าพูดแบบเข้าข้างตัวเองเราอาจจะคิดว่า มาร์กเขาเก่งตั้งแต่หนุ่มๆแล้ว ส่วนอีกคนก็เป็นแค่นิยาย เราลองมาดูงานวิจัยนี้กันว่า แล้วถ้าเราอยากจะเก่งแบบจริงๆจังๆล่ะ มันต้องคิดแบบไหน (ถึงไม่เข้าข้างตัวเอง)
มันเป็นเรื่องจริงหรือขายของกันแน่กับคำพูดที่ว่า Growth Mindset และ Fixed Mindset ที่พูดกันเกลื่อนกล่นบนโลกอินเตอร์เน็ต วันนี้ผมได้ลองค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้องว่าเรื่องเหล่านี้ เป็นผลพวงจากการขายของ หรือผลจากการทดลองของจริง เราไปดูกันครับ
งานเขียนบทหนึ่งของ Carissa Romero คือเรื่อง What We Know About Growth Mindset พูดถึงเรื่อง Growth Mindset และ Fixed Mindset ว่าผู้ที่มีสองอย่างนี้ไม่เหมือนกันจะมีแนวคิดการใช้ชีวิตและการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวเขาไม่เหมือนกัน คนที่มี Growth Mindset จะรู้สึกว่าสิ่งรอบตัวน่าสนุกและน่าเรียนรู้อะไรใหม่ๆได้เสมอ ในขณะที่ Fixed Mindset จะพยายามหลีกเลี่ยงสถานการ์ต่างๆที่ทำให้ตัวเองรู้สึกแย่จากความคิดที่ว่าตัวเองไม่เก่ง
.
มีการอ้างงานวิจัยของ Claro, Paunesku, & Dweck ที่ใช้จำนวนคนในงานวิจัยถึง 168,203 คน ในการทดลองกับเด็กนักเรียนเกรด10 กับการทำทดสอบของประเทศชิลีที่เรียกว่า National Achievement Test เพื่อวัดระดับความสามารถของเด็กในประเทศ การวิจัยแบ่งเด็กออกเป็น2กลุ่ม คือเด็กที่เชื่อว่าตัวเองมี Growth Mindset และอีกกลุ่มที่เชื่อว่าตนเองเป็น Fixed Mindset (กลุ่มนี้เชื่อว่าสิ่งต่างๆเรียนรู้ได้ แต่ความฉลาดนั้นคงที่) เมื่อนำผลการทดสอบของเด็กทั้ง2กลุ่มมากางออกดู พบว่า
1. เมื่อดูส่วนของผู้ที่ทำคะแนนได้ดีในระดับท็อป20% จำนวนของเด็กที่เชื่อว่าตัวเองมี Growth Mindset มีมากกว่า จำนวนเด็กที่เชื่อว่าตัวเองมี Fixed Mindset ถึง3เท่า
2. เมื่อดูส่วนของผู้ที่ทำคะแนนได้น้อยที่สุด20% จำนวนของเด็กที่เชื่อว่าตัวเองมี Growth Mindset มีน้อยกว่า จำนวนเด็กที่เชื่อว่าตัวเองมี Fixed Mindset ถึง4เท่า

นักเรียนกว่าแสนคนที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้
.
นี่เป็นหลักฐานชั้นดีที่ว่า ผู้ที่มี Growth Mindset มักทำผลงานได้ดีกว่าผู้ที่มี Fixed Mindset นั่นหมายความว่าความฉลาดเป็นสิ่งที่เปลียนแปลงได้ไม่ได้นิ่งอยู่กับที่ตั้งแต่เกิด จากงานวิจัยข้างต้น เด็กเหล่านั้นก็ทำการสอบ (National Achievement Test) ไปตามปกติ และจิตใจของเขาที่คิดว่าตัวเองมี Growth Mindset หรือ Fixed Mindset ก็มีมาแล้วตั้งแต่ต้น เพียงแต่ผู้วิจัยนำเด็กสองกลุ่มมาจัดกลุ่มเพื่อวัดผลการวิจัยเท่านั้น และผลการสอบอ้างอิงจากกลุ่มที่คัดแยกไว้จากจำนวนนักเรียนเป็นแสนคนก็เรียกได้ว่ายืนยันผลการวิจัยนี้ได้อย่างดี

ผู้ที่มี Growth Mindset มีโอกาสเติบโตได้มากขึ้น
.
มาถึงจุดนี้ สำหรับคนที่คิดว่า Growth Mindset นั้นเป็นเรื่องของคนเก่ง เรายังทันครับ เราแค่เปลี่ยนความคิดตัวเอง ไม่ว่าวันนี้เราจะมีความคิดแบบไหนก็ตาม ที่ไม่ใช่ Growth Mindset เรามาลองคิดกันว่าเรื่องทุกอย่างเรียนรู้ได้ เปลี่ยนแปลงได้ เมื่อเรามี Mindset แบบนี้ โอกาสที่เราจะทำอะไรก้าวหน้าและสำเร็จจะมีมากขึ้นโดยยืนยันจากผลงานวิจัยข้างต้น
.
ไม่ใช่แค่ผลการวิจัยเท่านั้นทื่ยืนยัน มาร์กทั้ง2คน คือ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก และ มาร์ก วัทนีย์ ก็ทำให้คนทั่วทั้งโลกเห็นแล้วว่า สิ่งที่เขาทำนั้นมันมาจากตัวเขาและเขาก็เปลี่ยนแปลงโลกได้จริงๆ
