เหตุผลที่หลายคนไม่ Move On

เหตุผลที่หลายคนไม่ Move On

“อกหักดีกว่ารักไม่เป็น” มีประเด็นให้ถกเถียงกันพอสมควรว่า มันจริงหรือไม่จริงกันแน่

สำหรับคนที่ยังไม่เคยมีแฟนจริงๆจังๆมาก่อน อาจจะบอกว่าไม่จริงด้วยเหตุผลที่ว่าถ้าต้องอกหักแบบนั้นก็ขอยังไม่มีใครดีกว่า ขณะที่อีกฟากฝั่งของคนที่ความรักเพิ่งจบลง รู้แล้วว่ารักเป็นอย่างไรกลับบอกว่า แน่นอนมันก็แค่อีกหนึ่งความรักที่ยังไม่สำเร็จ

ส่วนคนที่อยู่ตรงกลางระหว่างสองประเด็นข้างต้น คือพวกที่รักใหม่ก็มา ส่วนรักเก่าก็บอกลาไปแล้ว แต่ตัวตนของเขายังคงติดอยู่กับความรักครั้งเก่าที่เป็นดังโซ่ตรวนที่ไม่ได้ปลดปล่อยเสรีภาพแห่งความรักไปสู่ครั้งใหม่ๆ หรือที่เรียกกันว่ายังไม่ Move On เสียที วันนี้เรามาดูกันว่า เพราะอะไร

น่าจะ...หันหน้าเข้าหากัน

น่าจะ…หันหน้าเข้าหากัน

.

เพราะอะไรยังไม่ Move On

ผมเคยได้มีโอกาสถามคนที่ยังไม่ Move On ก็มีคำตอบแตกต่างกันไป แต่ก็พอจะสรุปออกมาได้คร่าวๆว่า ยังไม่สามารถลืมรักครั้งเก่าได้ แน่นอนจะให้ลืมเหมือนไม่เคยมีเรื่องนั้นเกิดขึ้นเลยคงเป็นไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยขอให้มันกลายเป็นเรื่องที่ไม่สะทกสะท้านก่อนได้ไหม พร้อมกับข้อสงสัยที่ว่า “เมื่อไร”

.

อีกเหตุผลที่มักได้ยินบ่อยๆก็คือ “กลัวความรัก” ใครที่เข้ามาใหม่ก็มักไม่ได้ดังใจอย่างคนเก่า ในช่วงที่รักครั้งเก่าถึงจุดพีค มันกลายเป็นจุดอ้างอิงสำคัญราวกับยอดเขาที่เคยไปพิชิต เขาลูกต่อๆไปที่ยอดเขาไม่ได้มีวิวสวยอย่างที่เคยไปพิชิตมา มักทำให้เขาเหล่านั้นไม่อยากจะไปต่อ

เมื่อรักครั้งเก่ายังสดใหม่

เมื่อรักครั้งเก่ายังสดใหม่

.

ที่ว่ามาเมื่อกี้ จริงเหรอ?

การรับรู้ของมนุษย์นั้นมีการศึกษากันมาอย่างยาวนาน ทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจของ ฌ็อง ปียาแฌ (Jean Piaget) นักจิตวิทยาชาวสวิส ที่มีชีวิตในช่วง 1896 – 1980 และเป็นบุคคลสำคัญในการนำเสนอทฤษฎีกระบวนการรับรู้ของมนุษย์ตั้งแต่วัยเด็กเรื่อยมาจนเลยเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เขาเชื่อว่าการเรียนรู้ของมนุษย์มาจากประสาทส่วนกลางเรียกว่าโครงสร้างทางสติปัญญา ที่ประกอบด้วยกระบวนการสำคัญๆ 2อย่าง

ส่วนที่1. การขยายขอบเขตของความรู้ (Assimilation) เปรียบสมองเป็นเหมือนกล่องว่างๆในตอนแรก และทุกเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาก็จะมาขยายกล่องให้ใหญ่ขึ้นๆด้วยสิ่งใหม่ๆที่ได้รับรู้

ตัวอย่าง

ด.ช.มานะ อายุ3ขวบ ที่บ้านมีสุนัขเป็นสัตว์เลี้ยง เมื่อครั้งที่ด.ช.มานะได้ไปเที่ยวสวนสัตว์ และเจอเข้ากับ “ม้า” เป็นครั้งแรก ด.ช.มานะใช้การรับรู้จากสิ่งที่มองเห็น เทียบกับความทรงจำที่มีในสมองว่ามีสี่ขา และไม่ใช่มนุษย์ เหมือนกับเจ้าตัวที่เห็นที่บ้าน จึงร้องอุทานออกมาว่า “หมา”

สัตว์4ขาที่เรียกว่าสุนัข

สัตว์4ขาที่เรียกว่าสุนัข

.

ส่วนที่2. การปรับโครงสร้างความรู้ (Accommodation) เป็นกระบวนการในการปรับตัวของโครงสร้างการรับรู้ของมนุษย์ เพื่อให้ข้อมูลใหม่ๆที่ได้รับเข้ามา ถูกปรับหรือผสมเข้ากับความรู้เดิมที่มีอยู่เนื่องจากเป็นข้อมูลที่ไม่ตรงกัน กลายเป็นความรู้ใหม่ที่เปลี่ยนไปจากเดิม

.

จากตัวอย่างเดิมข้างต้น

แม่ของด.ช.มานะ เห็นลูกเรียก “ม้า” ว่า “หมา” จึงสอนใหม่ว่า ตัวใหญ่ๆ สง่าๆ วิ่งได้เร็วแบบนี้ เรียกว่า “ม้า” นะลูก โครงสร้างภายในของสมองจะมีการปรับความเข้าใจระหว่างม้าและหมาใหม่ ว่าถึงแม้จะมีสี่ขาเหมือนกัน แต่ก็ยังเป็นสัตว์คนละชนิดกัน

ม้า 4ขา เหมือน หมา

ม้า 4ขา เหมือน หมา

.

ทฤษฎีของ Jean Piaget ได้ใช้นิยามของการรวมกันของกระบวนการทั้งสองข้างต้นว่า Cognitive Equilibrium หรือดุลยภาพแห่งกระบวนการรับรู้ ซึ่งสมองทำงานด้วยกระบวนการทั้ง2ข้างต้น อยู่ที่ว่าข้อมูลใหม่ๆที่ได้รับมานั้น แตกต่างจากข้อมูลเดิมในสมองมากน้อยแค่ไหน ถ้าแตกต่างมากสมองจะเลือกใช้กระบวนการที่1คือ การขยายขอบเขตของความรู้ แต่ถ้าข้อมูลใหม่ที่พบเจอแตกต่างจากความรู้เดิมๆที่มีอยู่ในสมองเพียงเล็กน้อย สมองจะเลือกใช้กระบวนการที่2คือ การปรับโครงสร้างความรู้

การปรับดุลยภาพของความรู้ระหว่างม้าและหมา

การปรับดุลยภาพของความรู้ระหว่างม้าและหมา

.

เฉกเช่นเดียวกัน

เมื่อ Candidate คนใหม่แห่งชีวิตเดินเข้ามา หากคนใหม่นั้นมีความแตกต่าง(ในทางที่ดี)จากรักครั้งเก่ามาก สมองจะเลือกการขยายขอบเขตของความรู้ แต่ในความแตกต่างนั้นย่อมมีสิ่งที่ใกล้เคียงกับความรักครั้งเก่ารวมอยู่ด้วย ดังนั้นสมองจึงวิ่งไปตามกลไกของ2กระบวนการข้างต้นเพื่อสร้างดุลยภาพแห่งการรับรู้ และไม่อยากจะสูญเสียดุลยภาพนั้น การจะคงไว้ซึ่งดุลยภาพแห่งการรับรู้นั้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือ จมอยู่กับความทรงจำเดิมที่มีอยู่ และนี่เองคือเหตุผลที่ยังไม่อยาก Move On ไปไหน

ล้มเพราะวิ่งก็ดีกว่านั่งนิ่งๆไม่ไปไหน

ล้มเพราะวิ่งก็ดีกว่านั่งนิ่งๆไม่ไปไหน

.

รู้ดังนี้แล้ว…

หากคุณรู้เท่าทันสมองของตัวเองดังนี้แล้ว เมื่อพบเจอคนใหม่เข้ามาในชีวิตและก็เป็นที่ฟันธงได้แล้วว่า รักครั้งเก่าคงกลับไปเป็นแบบเดิมอีกไม่ได้ ก็จง Move On ไปสู่รักครั้งใหม่ ทำลายดุลยภาพแห่งการรับรู้เดิมๆ เพื่อสร้างฐานของดุลยภาพใหม่ๆ เพราะหากรักครั้งใหม่มีโอกาสดีกว่าเดิมได้ ก็แทบไม่มีเหตุผลที่จะต้องติดหล่มอยู่ที่รักครั้งเก่าอีกเลย เพราะว่าเรื่องหมาๆ อาจจะกลายเป็น อาชาไนย ม้าขาวที่พาคุณสู่ความรักครั้งใหม่ที่สดใสก็ได้

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

เพื่อนคุณคงดีใจ ถ้าคุณแชร์เรื่องราวดีๆไปให้